วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทินครั้งที่6

บันทึกอนุทิน
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี  9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558
ครั้งที่ 6 กลุ่มเรียน 104
เวลาเข้าเรียน 12:20 – 15:50 น. ห้อง 435(จษ) อาคาร 4

     ก่อนเข้าสู่บทเรียนอาจารย์ให้ทุกคนทำกิจกรรม แจกกระดาษคนละ 1 แผ่น , ถุงมือ
     วิธีทำที่ 1 พับกระดาษครึ่งแผ่น จากนั้นให้ใส่ถุงมือข้างที่ไม่ถนัด (ข้างที่ไม่ได้เขียนหนังสือ) และนำมือที่ใส่ถุงมือทาบลงบนกระดาษ ใช้ดินสอวาด และวาดส่วนต่างๆของมือ เช่น เล็บ ฯลฯ (ห้ามเปิดดู)
     วิธีทำที่ 2 ทำแบบวิธีที่ 1 เพียงแต่ถอดถุงมือออก และวาดในสิ่งที่เห็น
   มือที่ 1 วาดด้วยถุงมือ          มือที่ 2 วาดจากมือจริง

          มือเราใช้ทุกวัน เห็นทุกวัน ถ้าเจอความเป็นจริงถ้าเราเป็นครูอนุบาลจริงๆ เราไม่สามารถเห็นเด็กอย่างนี้ได้ทุกวัน เด็กจะอยู่ติดกันใกล้ๆกันทุกวันแบบมือเราคงไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าเด็กที่อยู่ข้างกายเราทุกวี่ทุกวันจะจำรายละเอียดได้จริงหรือเปล่าคงไม่เช่นกัน เพราะฉะนั้นเด็กก็เหมือนกันอย่าชะล่าใจว่าเราเห็นเด็กทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเทอมแล้วเราจะจำได้จะเหมาภาพรวมแล้วมาบันทึกในครั้งเดียว เน้นย้ำว่าในเรื่องการบันทึกพฤติกรรมเด็ก สังเกตและบันทึกจดเข้าไว้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง พฤติกรรมเป็นไงเพื่อให้เราเห็นพัฒนาการเขา บันทึกให้เป็น บันทึกเป็นช่วงๆ เห็นอะไรบันทึกลงไป ทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เป็นระบบ หมายความว่าบันทึกอย่างเป็นระบบจริง ถามว่าถ้าเราเห็นเด็กทุกวัน เด็กมีอยู่ 28 คน แล้วถ้ามีเด็กพิเศษอยู่ 1 คนที่อยู่รวมกับเด็กหลายๆคน ถ้าเกิดว่าเห็นพฤติกรรมมาทั้งวัน แล้วจำมาบันทึกในตอนเย็น จะบันทึกไม่ได้จริง เทียบกับมืออันที่ 2 ที่มองเห็นแล้ววาดตามสิ่งที่เห็น บันทึกสิ่งที่เราเห็น ซึ่งใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อสังเกตพฤติกรรมเป็นอย่างไรควรบันทึก ณ ตอนนั้นเลย ซึ่งจะได้รายละเอียดที่มากกว่า และไม่ควรจำแล้วเก็บมาบันทึกทีเดียว

เนื้อหาที่เรียนในวันนี้ การสอนเด็กพิเศษและเด็กปกติ
     ทักษะของครูและทัศนคติ
การฝึกเพิ่มเติม
  • อบรมระยะสั้น , สัมมนา
  • สื่อต่างๆ
การเข้าใจภาวะปกติ
  • เด็กมักคล้ายคลึงกันมากกว่าแตกต่าง ในเรื่องพัฒนาการ
  • ครูต้องเรียนรู้ , มีปฎิสัมพันธ์กับเด็กปกติและเด็กพิเศษ พูดคุย , ทักทาย , เข้าไปช่วยเหลือ
  • รู้จักเด็กแต่ละคน ซึ่งเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
  • มองเด็กให้เป็น “เด็ก”
การคัดแยกเด็กที่มีพัฒนาการช้า
     การเข้าใจพัฒนาการของเด็ก จะช่วยให้ครูสามารถมองเห็นความแตกต่างของเด็กแต่ละคนได้ง่ายความพร้อมของเด็ก
     1. วุฒิภาวะ     2. แรงจูงใจ     3. โอกาส
การสอนโดยบังเอิญ (การสอนจากปัญหาที่เกิด และเหมาะสอนเด็กพิเศษได้ดี)
  • ให้เด็กเป็นฝ่ายเริ่ม
  • เด็กเข้าหาครูมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสในการสอนมากขึ้นเท่านั้น
  • ครูต้องพร้อมที่จะพบเด็ก
  • ครูต้องมีความสนใจเด็ก
  • ครูต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อเด็ก
  • ครูต้องมีอุปกรณ์และกิจกรรมล่อใจเด็ก
  • ครูต้องมีความตั้งใจจริงในการช่วยให้เด็กแต่ละคนได้เรียนรู้
  • ครูต้องใช้เวลาในการติดต่อไม่นาน
  • ครูต้องทำให้เป็นเรื่องสนุกสนาน
อุปกรณ์
  • มีลักษณะง่ายๆ
  • ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง
  • เด็กพิเศษได้เรียนรู้จากการสังเกตและเลียนแบบเด็กปกติ
  • เด็กปกติเรียนรู้ที่จะให้ความช่วยเหลือเด็กพิเศษ
  • มีสื่อของเล่นไม่ตายตัว
  • สื่อที่เหมาะใช้ได้หลายอย่าง
  • สื่อไม่แบ่งแยกเพศ
ตารางประจำวัน
  • เด็กพิเศษไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ
  • กิจกรรมต้องเรียงลำดับเป็นขั้นตอนและทำนายได้
  • เด็กจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ
  • การสลับกิจกรรมที่อยู่เงียบๆกับกิจกรรมที่เคลื่อนไหวมากๆ
  • คำนึงถึงความพอเหมาะของเวลา
ความยืดหยุ่น
  • การแก้แผนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ (อย่ายึดติดกับแผนมากเกินไป)
  • ยอมรับขอบเขตความสามารถของเด็ก
  • ครูต้องตอบสนองต่อเป้าหมายที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กแต่ละคน
     เมื่อเด็กออทิสติกตีเพื่อน เมื่อเพื่อนแค่ขอดูของเล่น หรือจับของเล่น จุดประสงค์พฤติกรรมอย่างแรกที่เราต้องปรับ คือ ให้น้องเลิกตีเพื่อน คุยกับเพื่อนดีๆก่อน (อย่าสอนนอกจุดประสงค์)
การใช้สหวิทยาการ
  • ใจกว้างต่อคำแนะนำของบุคคลในอาชีพอื่นๆ
  • สร้างความสัมพันธ์ระหว่างการบำบัดกับกิจกรรมในห้องเรียน
     การรับฟังผู้อื่น อย่ามั่นใจตัวเองมากเกินเหตุ เช่น ถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็กเป็นหมอ เขาพูดอาการต่างๆ ฟังหูไว้หูก็อย่าไปเชื่องมงาย ฟังเพื่อนำความรู้มาปรับใช้
การเปลี่ยนพฤติกรรมและการเรียนรู้
     เด็กทุกคนสอนได้
     เด็กเรียนไม่ได้เพราะไร้ความสามารถ เด็กเรียนไม่ได้เพราะขาดโอกาส มากกว่าความสามารถเทคนิคการให้แรงเสริม
  • ความสนใจของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กนั้นสำคัญมาก
  • มีแนวโน้มจะเพิ่มพฤติกรรมที่ดีของเด็ก และมักเป็นผลในทันที
  • หากผู้ใหญ่ไม่สนใจพฤติกรรมที่ดีนั้นๆก็จะลดลงและหายไป
  • ยิ่งชมเด็กยิ่งทำ
วิธีการแสดงออกถึงแรงเสริมจากผู้ใหญ่
  • ตอบสนองด้วยวาจา
  • การยืนหรือนั่งใกล้เด็ก
  • พยักหน้ารับ ยิ้ม ฟัง
  • สัมผัสทางกาย เช่น การกอด การลูบหัว หอมแก้ม ฯลฯ
  • ให้ความช่วยเหลือ , ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
หลักการให้แรงเสริมในเด็กปฐมวัย
  • ครูต้องให้แรงเสริมทันทีที่เด็กมีพฤติกรรมอันพึงประสงค์
  • ครูต้องละเว้นความสนใจทันทีและทุกครั้งที่เด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์
  • ครูควรให้ความสนใจเด็กนานเท่าที่เด็กมีพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์
การแนะนำหรือบอกบท (prompting) การบอกเป็นขั้นๆ
  • ย่อยงาน
  • ลำดับความยากง่ายของงาน
  • การลำดับงานเป็นการเสริมแรงเพื่อให้เด็กค่อยๆก้าวไปสู่ความสำเร็จ
  • การบอกบทจะค่อยๆน้อยลงตามลำดับ
ขั้นตอนการให้แรงเสริม
  • สังเกตและกำหนดจุดมุ่งหมาย
  • วิเคราะห์งาน กำหนดจุดประสงค์ย่อยๆในงานแต่ละขั้น
  • สอนจากง่ายไปยาก
  • ให้แรงเสริมทันทีเมื่อเด็กทำได้ หรือเมื่อเด็กพยายามอย่างเหมาะสม
  • ลดการบอกบท เมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะก้าวไปขั้นต่อไป
  • ให้แรงเสริมเฉพาะพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่สุด ชมเฉพาะจุดประสงค์ที่ต้องการ
  • ทีละขั้น ไม่เร่งรัด “ยิ่งขั้นเล็กเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น”
  • ไม่ดุหรือตี
การกำหนดเวลา จำนวนและความถี่ของแรงเสริมที่ให้กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กต้องมีความเหมาะสม
ความต่อเนื่อง
  • พฤติกรรมทุกๆอย่างในชีวิตประจำวันต่อเนื่องกันระหว่างพฤติกรรมย่อยๆ หลายๆอย่างรวมกัน
  • เช่น การเข้าห้องน้ำ การนอนพักผ่อน การหยิบและเก็บของ การกลับบ้าน
  • สอนแบบก้าวไปข้างหน้า หรือย้อนมาจากข้างหลัง
เด็กตักซุป
  • การจับช้อน
  • การตัก
  • การระวังไม่ให้น้ำในช้อนหกก่อนจะเข้าปาก
  • การเอาช้อนและซุปเข้าปากแทนที่จะทำให้หกรดคาง
  • การเอาซุปออกจากช้อนเข้าสู้ปาก
การลดหรือหยุดแรงเสริม
  • ครูจะงดแรงเสริมกับเด็กที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
  • ทำอย่างอื่นและไม่สนใจเด็ก
  • เอาอุปกรณ์หรือขอเล่นออกไปจากเด็ก
  • เอาเด็กออกจากการเล่น
     "ความคงเส้นคงวา" คนเป็นครูปฏิบัติกับเด็กเสมอต้นเสมอปลาย ต้นเทอมอย่างไรปลายเทอมก็เป็นอย่างนั้น
Post test
  • การสอนโดยบังเอิญหมายความว่าอย่างไร
  • การสอนโดนบังเอิญครูต้องพึงปฏิบัติอย่างไร
  • ตารางประจำวันของเด็กควรเป็นอย่างไร
  • การให้แรงเสริมต่อเด็ก มีวิธีการอย่างไรบ้าง
การนำไปประยุกต์ใช้
     ในเรื่องการสังเกต บันทึกพฤติกรรมเด็ก ความรู้ตรงนี้สามารถนำไปใช้ในวันข้างหน้า วิธีการบันทึกเป็นช่วงๆ บันทึกอย่างเป็นระบบ และในเรื่องของกิจกรรมการวาดภาพสามารถนำไปประยุกต์จัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ให้กับเด็กได้ อาจจะมีวาดภาพมือแล้วต่อเติมระบายสี หรือสีน้ำ , สีเทียน ฯลฯ และสอนในหน่วยของร่างกายของฉันได้เป็นอย่างดี

การประเมินผล
  • การประเมินตนเอง - การแต่งกายสะอาดเรียบร้อยถูกระเบียบ ตอนที่ใส่ถุงมือ และวาดมือนึกรายละเอียดที่เป็นขีดๆตรงนิ้วไม่ค่อยออก ตอนลากเส้นโครงด้านนอกรู้สึกวาดไม่ถนัดเลย เดี๋ยวดินสอก็ติดถุงมือ และภาพวาดออกมามือก็ดูใหญ่น่าเกลียด แต่พอวาดมือตอนที่ไม่ต้องใส่ถุงมือรู้สึกว่าวาดได้ง่ายกว่ามากเลย รายละเอียดชัดกว่าและภาพออกมาก็ดูคล้ายมือจริงๆ
  • การประเมินเพื่อน - การแต่งกายสะอาดเรียบร้อยถูกระเบียบ เพื่อนๆเฮฮากันตลอด ทุกคนตั้งใจวาดภาพมือกันเต็มที่ มือเพื่อนบางคนก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็มีขนเยอะ เล็บยาว เล็บสั้น มืออ้วน มือผอม
  • การประเมินอาจารย์ - การแต่งกายสะอาดสุภาพ พูดจาไพเราะ เป็นกันเอง พูดคุยสนุกสนาน ร้องเพลงเพราะ มีกิจกรรมดีๆมาให้ทำก่อนเรียนเนื้อหาซึ่งสอดคล้องกัน ทำให้เข้าใจ เห็นภาพเกี่ยวกับการบันทึกการสังเกตว่าถ้าเป็นครูที่ดีควรสังเกตและบันทึกพฤติกรรมเด็กอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น